[x] ปิดหน้าต่างนี้
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป   
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
เมนูหลัก
ติดต่อสอบถาม
blog สมาชิก
สถิติผู้เขียน blog 10 อันดับ
wave
[ มือใหม่ ]
2
admin
[ มือใหม่ ]
2
orean
[ มือใหม่ ]
2
KAT
[ มือใหม่ ]
1
yuy
[ มือใหม่ ]
1
aTon
[ มือใหม่ ]
1
fang
[ มือใหม่ ]
1
film
[ มือใหม่ ]
1
mild
[ มือใหม่ ]
1
Donus
[ มือใหม่ ]
1
บทความ blog ล่าสุดโดย
เพลงคริสต์มาสtortae
การดูแลรักษาสุภาพ ให้แข็งแรงaTon
ประเพณีวันเข้าพรรษาmild
พบจุดที่หนาวที่สุดในโลกเเห่งใหม่ !!orean
พบจุดที่หนาวที่สุดในโลกเเห่งใหม่ !!orean
อาเซียนDonus
การวาดภาพสีนำ้lovepop-123456
อาเซียนmikekung02
ลดความอ้วนสูตรนางเอก 5 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์yuy
ปรากฏการณ์ธรรมชาติMin-Mintra
ไลน์ โรงเรียนศรัทธาฯ

ติดต่อ สอบถาม

poll

   คุณคิดว่าเวปนี้เป็นอย่างไร


  1. ดีมาก
  2. ดี
  3. ปานกลาง
  4. แย่
  5. แย่มาก

  

   เว็บบอร์ด >> >>
Nissan NAVARA Black รีวิว คร่าาวๆ สำหรับท่านที่สนใจ  VIEW : 126    
โดย รา

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 3
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 1
Exp : 60%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 49.229.208.xxx

 
เมื่อ : เสาร์ ที่ 26 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2565 เวลา 18:03:45   

รีวิว Nissan NAVARA Black Edition 2022 ใหม่
กระบะแต่งสปอร์ตเน้นความคุ้มค่าด้วยอุปกรณ์มาตรฐานชนิดจัดเต็ม โดยบทความนี้จะเน้นไปที่รุ่น King Cab E 7AT Black Edition ที่มีราคาจำหน่าย 849,000 บาท จะน่าใช้ขนาดไหนไปติดตามได้ในบทความนี้ครับ

Nissan NAVARA Black Edition เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ที่มองหารถกระบะพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งแท้จากโรงงาน โดยจะถูกวางตำแหน่งไว้ต่ำกว่าตระกูล PRO Series ทั้ง PRO-4X และ PRO-2X แต่ชูจุดเด่นด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่มีให้อย่างครบครัน ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ทั้งยังสามารถเลือกได้ทั้งตัวถังแบบ King Cab และ Double Cab เกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติรวมทั้งสิ้นกว่า 4 รุ่นย่อย ดังนี้
สำหรับบทความนี้เราได้มีโอกาสทดสอบรุ่น King Cab Calibre E 7AT Black Edition ตัวถังแบบตอนครึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในบ้านเรา โดยมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 849,000 บาท

ภายนอก
สำหรับ Nissan NAVARA Black Edition ทุกรุ่นจะถูกตกแต่งภายนอกด้วยชุดแต่งสีดำช่วยเพิ่มความสปอร์ตขึ้นกว่ารุ่นปกติ ประกอบด้วย แผงกันกระแทกใต้กันชนหน้าสีดำ, กระจังหน้าสีเทาดำ, ฝาครอบกระจกมองข้างสีดำ, มือจับประตูภายนอกสีดำ, ชุดคิ้วซุ้มล้อสีดำ, เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ, มือจับกระบะท้ายสีดำ และล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว
ทุกรุ่นที่เป็น Black Edition ยังถูกเพิ่มเติมด้วยชุดสติกเกอร์ตกแต่งด้านข้างตัวรถสีเทา-ดำ พร้อมสัญลักษณ์ “BLACK EDITION” บ่งบอกถึงความพิเศษของรถรุ่นนี้
ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานของ Nissan NAVARA Black Edition ทั้ง 4 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วย ไฟหน้าแบบ Quad-eye LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Follow-Me-Home และไฟส่องสว่างเวลากลางวัน, ไฟท้ายแบบ LED, กระจกมองข้างปรับ-พับเก็บอัตโนมัติ พร้อมไฟเลี้ยว LED, บันไดข้างสีดำ, ระบบปัดน้ำฝนพร้อมระบบหน่วงเวลา และล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว ลายเดียวกันทั้งหมด

 

ภายใน
ภายในห้องโดยสารของ Nissan NAVARA Black Edition ยังมีการตกแต่งเพิ่มความสปอร์ตขึ้นจากรุ่นปกติ โดยยังคงคุมโทนด้วยชุดแต่งสีดำรับกับภายนอก ได้แก่ กรอบแผงคอนโซลสีดำ, ช่องแอร์ตกแต่งด้วยสีดำ, มือจับประตูด้านในสีดำ, ที่วางแก้วคอนโซลกลางสีดำ, ฐานเกียร์สีดำ และที่พักแขนบริเวณแผงประตูสีดำ
ขณะที่ตัวเบาะนั่งแบบปรับมือถูกหุ้มด้วยวัสดุผ้าสีดำ ฝั่งผู้ขับขี่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ โดยที่รุ่นตัวถังแบบ King Cab จะไม่มีเบาะนั่งโดยสารตอนหลังมาให้ ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานของรุ่น Black Edition ทั้ง 4 รุ่นย่อย ประกอบด้วย มาตรวัดแบบเรืองแสงพร้อมจอแสดงข้อมูลแบบ 3 มิติ ขนาด 7 นิ้ว, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบยูรีเทน, กุญแจแบบ Keyless Entry พร้อมปุ่ม Push Start, กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ขึ้น-ลงอัตโนมัติพร้อมระบบป้องกันหนีบเฉพาะฝั่งผู้ขับขี่ และระบบล็อกประตูอัตโนมัติตามความเร็วรถ
นอกจากนี้ Nissan NAVARA Black Edition ทุกรุ่นย่อยยังเน้นความคุ้มค่าด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control), กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เป็นต้น
ทุกรุ่นยังถูกติดตั้งหน้าจออินโฟเทนเมนท์ NissanConnect แบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว สามารถรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ผ่านสาย USB ได้ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth รวมถึงมีช่องเชื่อมต่อทั้ง USB-A และ USB-C เพื่อรองรับความต้องการในยุคปัจจุบัน และเมื่อผู้ขับขี่เข้าเกียร์ถอยหลังก็จะปรากฏภาพจากกล้องรอบคัน Intelligent Around View Monitor ที่มีมุมภาพแบบ Bird-eye-view ทำงานคู่กับเซ็นเซอร์กะระยะจอดด้านหลังมาให้ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากกว่าการมองภาพจากกล้องเพียงอย่างเดียว
ด้านระบบความปลอดภัยก็มีให้พร้อมสรรพสำหรับรถที่วางจำหน่ายในปี 2565 ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS), ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง (TSA), ระบบป้องกันการลื่นไถลขณะถนนลื่น (ABLS), ระบบเบรก ABS/EBD/BA และถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นต้น
ขณะที่เทคโนโลยีขับขี่ Nissan Intelligent Mobility (NIM) ที่ติดตั้งมาให้ในรุ่น Black Edition มีทั้งสิ้น 3 ฟีเจอร์ ได้แก่ ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA), ระบบกล้องมองภาพอัจฉริยะรอบทิศทาง (IAVM) และระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (MOD) ถ้าต้องการฟีเจอร์ความปลอดภัยแบบครบครัน เช่น ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ, ระบบเตือนมุมอับสายตา, ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน และอื่นๆ จะต้องขยับไปเล่นรุ่นที่สูงกว่าเท่านั้น

เครื่องยนต์
ขุมพลังของ Nissan NAVARA Black Edition แบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 แบบ โดยรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดจะได้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.3 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ขณะที่รุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด จะได้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยวขนาด 2.3 ลิตร กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 403 นิวตัน-เมตรไปแทน
ทุกรุ่นผ่านค่ามาตรฐานไอเสียระดับ Euro 4 พร้อมด้วยถังน้ำมันขนาด 80 ลิตร

การขับขี่
สำหรับ Nissan NAVARA Black Edition ที่เราได้มีโอกาสทดสอบในครั้งนี้เป็นรุ่น King Cab Calibre E 7AT Black Edition เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 190 แรงม้า ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยทั้งเครื่องยนต์และช่วงล่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลแต่อย่างใด เพราะเครื่องยนต์บล็อกนี้จัดว่ามีพละกำลังในระดับเบอร์ต้นๆ ของตลาดอยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่ในตัวถังแบบตอนครึ่งยิ่งเห็นได้ชัดว่ามีความคล่องตัวทั้งในเมืองและนอกเมือง แรงดังใจสั่งไม่ว่าจะเป็นจังหวะเร่งออกตัวหรือเร่งแซง
ส่วนการตอบสนองของเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดก็เป็นสิ่งที่น่าชมเชย เพราะสามารถเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ได้อย่างนุ่มนวล ไม่มีจังหวะเย่อหน้าเย่อหลังให้รำคาญใจ รวมถึงสามารถตอบสนองต่อการคิกดาวน์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้การเร่งแซงเป็นไปตามใจสั่งอย่างดี
ขณะที่ช่วงล่างก็ถือว่าเซ็ตมาแบบกลางๆ ติดไปทางแข็งนิดๆ ตามธรรมชาติของกระบะตอนครึ่งที่ต้องเผื่อน้ำหนักบรรทุกเอาไว้ ประกอบกับน้ำหนักพวงมาลัยที่ถูกปรับให้เบาลงกว่าโฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ ทำให้การควบคุมทำได้อย่างคล่องตัวและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เรียกว่าเป็นรถกระบะที่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทยได้เป็นอย่างดี

สรุป
แม้ Trademark คำว่า “Black Edition” ของ Nissan NAVARA จะไม่ได้โดดเด่นติดหูสักเท่าไหร่นัก จนทำให้ใครหลายคนเผลอมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย แต่หากพิจารณาถึงความคุ้มค่า และชื่อเสียงที่ไว้ใจได้ตามฉบับนิสสันแล้วล่ะก็ คงกล่าวได้เต็มปากว่านี่เป็นกระบะที่มอบความคุ้มค่ามากที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่ถูกเพิ่มความสปอร์ตมากกว่ารุ่นปกติ รวมถึงอุปกรณ์มาตรฐานที่มีให้แบบแน่นๆ ยิ่งกว่ารถเก๋งเสียอีก สำหรับใครที่กำลังมองหารถกระบะเอาไว้ใช้งานสักคันแล้วล่ะก็ ลองเก็บไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการพิจารณาก็ดีไม่น้อยครับ

ราคาจำหน่าย Nissan NAVARA Black Edition 2022 ใหม่
KC Calibre E 6MT Black Edition ราคา 799,000 บาท
KC Calibre E 7AT Black Edition ราคา 849,000 บาท *รุ่นที่ใช้ในการทดสอบ
DC Calibre E 6MT Black Edition ราคา 884,000 บาท
DC Calibre E 7AT Black Edition ราคา 934,000 บาท
https://mydeedees.com/nissan-navara-black-%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%a7-%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%86-%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%97/