ผศ.นพ.พิสิษฐ หุตะยานนท์ อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เปิดเผยว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจที่เข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่เข้ารับการตรวจแบบทั่วไป และกลุ่มที่เข้ารับการตรวจแบบฉุกเฉิน การตรวจวินิจฉัย ดูแล และรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจเหล่านี้ แพทย์จะใช้
protocol ที่เป็นแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยซึ่งได้รับการพัฒนา โดยทีมแพทย์และทีมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยอ้างอิงกับแนวทางเวชปฏิบัติจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจ อเมริกา (American Heart Association) และสมาคมแพทย์โรคหัวใจยุโรป (European Society of Cardiology) รวมถึงแนวทางเวชปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขาด
เลือดในประเทศไทย โดยสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย แนวทางดังกล่าว แพทย์จะอาศัยการตรวจสอบประวัติ ลักษณะอาการของผู้ป่วย ลักษณะของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการพิจารณาว่ามีการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อหัวใจหรือไม่ โดยการเจาะเลือดเพื่อตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของระดับสารบ่งชี้ภาวะโรคหัวใจ (cardiac biomarker /
cardiac troponin) ปัจจุบันจะเป็นการตรวจวัดสารบ่งชี้ภาวะโรคหัวใจแบบ high sensitivity cardiac troponin T ที่ให้ผลการตรวจวัดอย่างละเอียดและมีความแม่นยำ สามารถนำมาใช้กับ แนวทางการดูแลผู้ป่วยที่สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันแบบ 0 และ 1 ชั่วโมง (0h/1h algorithm) ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการวินิจฉัยผู้ป่วยที่สงสัย
ภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลันที่ส่งผลให้เกิดลักษณะของกล้ามเนื้อหัวใจตายดังกล่าว จากเดิมที่ต้องรอการแปลผลการเปลี่ยนแปลงของสารบ่งชี้โรคหัวใจ 3-6 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ก็ลดลงเป็นที่ 1 ชั่วโมง แนวทางการรักษาดังกล่าวให้ประโยชน์อย่างน้อย 2 ประการ ประการแรกถือเป็นประโยชน์สำคัญที่ตกแก่ผู้ป่วย โดยหากแพทย์สามารถ
ให้การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะโรคซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงหรือมีภาวะแทรกซ้อนสูงหรือไม่ ภายในระยะเวลาที่สั้นลง จะส่งผลให้แพทย์สามารถตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมในขั้นตอนต่อไปได้เร็วขึ้น ในขณะเดียวกัน หากผลการตรวจเลือดไม่พบการเปลี่ยนแปลงของ high sensitivity cardiac troponin T การตั้งสมมติฐานที่ว่าผู้ป่วยอาจมี
ภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้น อาจมีความเป็นไปได้น้อย แพทย์ก็จะสามารถมุ่งประเด็นสู่การหาสาเหตุอื่นที่สามารถอธิบายอาการของผู้ป่วยได้เร็วขึ้นเช่นกัน แทนที่จะต้องรออีก 2-3 ชั่วโมง ซึ่งแน่นอนว่าการวินิจฉัยที่รวดเร็วขึ้นดังกล่าว จะสามารถบรรเทาความไม่สบายใจ การลังเลสงสัย และความกังวลของทั้งตัวผู้ป่วยเองและญาติของผู้
ป่วย จากการรอฟังผลจากแพทย์ลงไปได้อย่างมาก ประโยชน์ประการที่ 2 การที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเร็วขึ้น และได้รับการส่งต่อไปยังตำแหน่งที่ควรได้รับการรักษาได้รวดเร็วขึ้น หรือได้รับการพิจารณาให้สามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย แพทย์และบุคลากรในห้องฉุกเฉินจะมีเวลาในการดูแลผู้ป่วยหนักรายอื่นเพิ่มขึ้น ลดปัญหาความแออัดของ
ห้องฉุกเฉินได้อย่างมาก และส่งผลดีต่อระบบการรักษาดูแลผู้ป่วยโดยรวม ด้าน รศ.นพ.วินชนะ ศรีวิไลทนต์ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า ปัญหาที่พบได้ในห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ก็คือการมีผู้ป่วยมารับการรักษาเป็นจำนวนมาก
รวบรวมเนื้อหาโดย UFA369 เว็บเกมส์ UFABET อันดับ 1 ของไทย
สมัคร แทงบอล และ คาสิโนออนไลน์ ที่ดีที่สุด
|