
เข้าพิธิแต่งงานสุดร่าเริงกันแล้ว สำหรับ เป็นต้นว่าวราห์ อาจพวงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม แล้วก็ ก้อย รัชวิน สกุลบากบั่น ที่ถือฤกษ์ดี 28 เดือนพฤศจิกายน 2563 ควงคู่เข้าประตูสมรส ที่เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ดิ แอทธินี โฮเทล กางงค็อก
ช่วงเวลาเช้าได้มี โน้ส อุดม แต้พานิช เป็นผู้ดำเนินรายการในงาน ดังนี้ เจ้าบ่าว พร้อม หมู บิ๊กแอส นำขบวนขันหมากสู่ขอเจ้าสาว ผ่านด่านทั้งสิ้น 9 ประตู หลังจากนั้นได้มีพิธีการสวมแหวนหมั้น พร้อมสินสอดทองหมั้น อาทิเช่น เงินสด ทองแท่ง แหวนเพชร แล้วก็อื่นๆต่อด้วยพิธีกรรมรดน้ำสังข์ ที่ได้ แอ๊ด ติดอยู่ราบาว แล้วก็เมีย เป็นผู้เจิมหน้าผาก และก็ยังมีพ่อกับแม่อีกทั้งของเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นผู้ใส่มงคลให้
ดังนี้ เมื่อเวลา 16.30 น. เจ้าบ่าว-เจ้าสาวป้ายแดง ได้ควงคู่มาเปิดใจถึงวันเริ่มชีวิตแต่งงาน
โดยก้อยได้เปิดใจว่า “ท้ายที่สุดวันนี้ก็มาถึง เป็นความรู้สึกที่มิได้นอนเลย พากเพียรข่มตาหลับ แต่ว่าพอเพียงมาถึงที่งาน ได้พบครอบครัว ได้พบผู้ที่รัก รวมทั้งเลี้ยงพวกเรามาตั้งเด็ก พี่น้องที่ไม่พบตั้งนาน ก็ทำให้พวกเราฮึบขึ้นมาได้ โมเมนต์ที่พวกเราเดินมาแล้วมองเห็นบิดามารดาของพวกเราสองคนอยู่ด้านหน้า มันเกินที่จะนำเสนอ ไม่คิดว่าพวกเราจะได้เห็นภาพในวันนี้”
ภายหลังวันนี้จะต้องดำเนินชีวิตคู่ของการเป็นผัว-เมียอย่างเป็นทางการแล้ว เกร็งหรือจะต้องปรับนิสัยอะไรอย่างไรไหม ก้อย รัชวิน ได้เปิดเผยว่า
“เกร็งขณะนี้จ้ะ ขณะที่สัมภาษณ์นี่เกร็งที่สุด พวกเราคุยกันว่ามันจะมีอะไรแปรไปมั้ย จากแฟนขยับมาเป็นผัวเมีย แม้กระนั้นก้อยมีความคิดว่าสำหรับเพื่อการปฏิบัติในความรู้สึกบางครั้งก็อาจจะดังเดิม แต่ว่าการกระทำเป็นพวกเราเองก็จำต้องราวเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นเมียในอนาคต รวมทั้งเป็นแม่ เป็นพวกเราควรมีหน้าที่ที่มันเสริมเติมเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้มันควรมีหน้าที่รับผิดชอบเยอะขึ้น ถามคำถามว่าเกร็งมั้ย ก้อยว่ามันเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ใหม่ที่พวกเราจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจ และก็ปรับนิสัยกันถัดไป ด้วยเหตุว่า 10 ปีที่ล่วงเลยไปพวกเราก็ศึกษากันมาในระดับหนึ่ง เพียงพอมันแปรไปอีกหน้าที่หนึ่ง มันก็ควรจะมีสิ่งที่จำต้องศึกษาเพิ่มเติมอีก ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่น่าสนุก เสมือนพวกเราได้สอบเลื่อนฐานะปัจจุบันนี้พวกเราจบ มัธยม6 แล้วพวกเรากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย”
ตูน ยังได้เปิดใจว่ากล่าว อย่างที่ก้อยบอกเมื่อกี้นี้ เป็นพวกเราคิดว่าพวกเราได้ศึกษาต่อในขั้นถัดไปของความเป็นมนุษย์ เป็นพวกเราคบกันมา 10 ปีพวกเราก็เป็นคนรักกัน แล้วพวกเราก็เป็นลูกของบิดามารดา พวกเรายังมิได้สมรส มิได้มีลูกที่พวกเราจะทำเพื่อเขา พวกเราเป็นคู่รักกันพวกเราก็ยังเป็นลูกของบิดามารดายังเป็นเด็กอยู่ตลอด พวกเราเลยมีความคิดว่าการสมรสหรือการแต่งงานมันเป็นการที่ขยับความเป็นมนุษย์ของพวกเราให้มันบริบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผมก็ตื่นเต้นที่กำลังจะได้ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยแบบเดียวกัน เป็นพวกเราก็ซ้ำชั้นมัธยมมานับเป็นเวลาหลายปีแล้วเนอะ (หัวเราะ) ซ้ำชั้นกระทั่งมาอายุ 41 แล้วพึ่งได้เรียนมหาวิทยาลัย พวกเรามีความรู้สึกว่ามันเป็นจังหวะที่ดีที่พวกเราจะได้ตื่นเต้นกับความรู้สึกใหม่ๆตื่นเต้นในด้านดีนะครับผม ไม่ว่าในที่สุดมันก็จำต้องพบเรื่องอะไรที่มันไม่ใช่มีเพียงแค่ด้านเดียว ไม่ใช่มีเพียงแค่ความสำราญสิ่งเดียว
“พวกเรามีความรู้สึกว่าการสมรสการแต่งงาน มันเป็นการที่ขยับ คนของพวกเราให้มันบริบูรณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่มากมายก็น้อย ผมก็ตื่นเต้นที่กำลังจะได้ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยแบบเดียวกัน เป็นพวกเราก็ซ้ำชั้นมัธยมมายาวนานหลายปีแล้ว ซ้ำชั้นมาจนกระทั่งอายุ 41 ปีแล้ว พึ่งจะได้เรียนมหาวิทยาลัย พวกเรามีความคิดว่ามันเป็นจังหวะที่ดีที่กำลังจะได้คื่นเต้นกับความรู้สึกใหม่ๆตื่นเต้นในทางดีนะ พวกเราได้รับรู้ว่ามันมิได้มีอะไรเพียงแค่ด้านเดียวไม่ใช่มีเพียงแค่ความสบายสิ่งเดียว พวกเราทราบดีว่าเมื่อพบความทุกข์ใจ พวกเราจะจัดแจงกับมันยังไง วันนี้พวกเราโชคดีมากมายๆหรือเปล่าวันที่พวกเราไปแจกการ์ดกับคนแก่บางบุคคล แล้วพวกเราได้คำกล่าวสอนดีๆพวกเราได้คำตักเตือนสติดีๆจากท่านพวกนั้นมาเก็บในคลังเก็บข้อมูลให้พวกเราได้ใช้ คำชื่นชมยินดีพวกนี้ และก็คำอบรมสั่งสอนกลุ่มนี้ล่ะที่จะถูกนำไปบอกพวกเราหรือบอกก้อยในอนาคตว่า พวกเราจะทำมันอย่างยอดเยี่ยม พวกเราจะทำอย่างที่คนแก่สอน ก็ตื่นเต้นที่กำลังจะได้ขยับที่ทางของตน”
เมื่อไต่ถามถึง พิธีการกันประตูเมื่อเช้ามีเนื้อความหนึ่งที่ถูกแชร์กันเยอะแยะ เกี่ยวกับเรื่อง ‘มนต์บูชาภรรยา’ ซึ่งนักร้องคนที่ใครๆก็รู้จักกล่าวว่า จำไม่ได้เลย แต่ว่ารู้สึกว่าน่าจะเป็นด่านในประตูลำดับที่สองมั้ง เขาเอาเวทมนตร์คาถาบูชาภรรยามาให้พวกเราร้องเป็นเมโลดี้ ทีแรกๆพวกเราก็ร้องในแบบบอร์ดี้สแลม เอาทำนองแสงสว่างท้ายที่สุดมา แม้กระนั้นคำมันไม่ครบก็เลยจำเป็นต้องด้นสดเอา ปัจจุบันนี้ลืมไปหมดแล้ว
ทำเอาก้อยถึงกับออกปากเย้าแหย่ว่า “ลืมเร็วจังเลยคะ พึ่งเมื่อเช้าเองนะ เพราะอะไรเป็นเวทมนตร์คาถาที่ลืมเร็วจัง เขาพูดว่า happy life happy wife”
ภายหลังท่องคาถานั้นไปคนจำนวนไม่น้อยเลยพูดว่าพี่ตูนเข้าชมรมพ่อบ้านกล้า กลัวเมีย
“ที่จริงแล้ว ใช้คำว่านับถือมากยิ่งกว่านะ ไม่ใช่แบบนับถือคนแก่เด็กนะ แม้กระนั้นเป็นการเคารพนับถือซึ่งกันและกัน ถามคำถามว่ากลัวไหมก็มีเกรงนะ เคารพนับถือในความนึกคิดของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะต้องเติมเต็มให้กัน จุนเจือมากยิ่งกว่า”
กับการที่ทั้งสองเห็นว่าต่างมาเติมเต็มกันและกันอย่างไรบ้าง
ตูน : สำหรับผมเป็นพวกเราไม่ใช่ผู้ที่คบกันปีสองปีแล้วมาสมรสกันแล้วต่างที่จะศึกษาซึ่งกันและกันมาตลอด 10 ปีและเพิ่มเติมให้กันตลอด 10 ปีอยู่แล้วผมรู้สึกว่า 10 ปีที่ล่วงเลยไปพวกเราก็ได้ศึกษาแล้วว่ามันจะเป็นเสมือนรากฐานที่ดีต่อการใช้ชีวิตสมรสอีก 20 30 40 ปีหากพวกเราโชคดีอยู่ได้นานขนาดนั้น กลางทางก้อยเค้าก็ชอบเป็นคนเพิ่มให้ผมเสมอ เป็นคนเพิ่มเติมให้ผมซะเยอะแยะไม่ว่าผมจะไปทำกิจกรรมอะไรไม่ว่าผมจะมีการแสดงดนตรีเล็กการแสดงดนตรีใหญ่ เค้าว่าเค้าก็จะไปเชียร์ตลอดระยะเวลารวมทั้งกิจกรรมออกไปวิ่งออกไปอะไร ซึ่งเค้ามิได้ออกแรงหรือตั้งแต่ต้น เค้าก็เลือกที่จะมาตากแดดตากลมกับพวกเรานั่งรถยนต์ไปวิ่งไกลๆ30 40 กิโล เป็นทุกข์ยากลำบากเค้ายอมที่จะเข้ามาอยู่ในวงจรชีวิตพวกเราซึ่งพวกเรามีความรู้สึกว่าพวกเราเคารพนับถือเขาที่ตรงนี้มากมายสำหรับการที่เค้าต้องการจะมาร่วมอยู่ ซึ่งมันไม่ง่ายสำหรับใครซักคนมาอยู่ข้างผมที่ดำรงชีวิตแบบสุดขั้วแบบบ้าละห่ำทำอะไรก็ต้องการที่จะให้มันสุดๆเต็มกำลังเค้าเพิ่มให้ผมซะส่วนมาก
ก้อย : สำหรับก้อยเป็นพี่ตูนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทั้งยังพี่ชาย เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งคนรัก แล้วพี่ตูนจะรู้สึกตัวไหมรู้สึกตัวก็ตามทีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ตูนทำเป็นเปลี่ยนแปลงให้ก้อยเป็นผู้ที่ดียิ่งขึ้นในทุกวัน และก็ทั้งสิ้นทั้งหมดมันมาจากความรักพวกเราก็พวกเราเคารพนับถือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่พี่ตูนทำที่เขาปฏิบัติต่อครอบครัวกับมิตรรักแฟนเพลงของเค้ากับคนที่อยู่รอบข้างเค้าการอ่อนน้อมถ่อมตัวของพี่ตูน ความเป็นมนุษย์ใจดีของพี่ตูนมาทำให้ก้อยโตขึ้นมากมายๆเป็นก้อยมั่นใจว่าตลอด 10 ปีให้หลังพี่ๆก็คงจะมองเห็นความเจริญของก้อยทางความนึกคิดขณะที่พวกเราพบกันก็จะมีความรู้สึกว่าพี่ตูนเข้ามาเค้ามิได้แปลงก้อยแต่ว่าเค้าทำให้ก้อยเป็นก้อยที่ดียิ่งขึ้น นั่นแหละมันเป็นสิ่งที่เขาเติมเต็มในส่วนที่ก้อยขาด ซึ่งบางโอกาสพี่ตูนอาจจะมิได้บอกก้อยตรงๆหรือสอนก้อยตรงๆแต่ว่าความประพฤติปฏิบัติของเขามันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด
แต่ เมื่อถามหาคำปัญญามีให้กัน ก้อยก็ตอบก่อนว่า “พวกเราไม่เคยข้อตกลงอะไรกันเลย”
ก่อนที่จะตูนจะเปิดเผยว่ากล่าว “พวกเราไม่เคยผูกมัดกันด้วยข้อจำกัดหรืออะไร แต่ว่าหากถามคำถามว่า อนาคตคุยอะไรกัน มีความคิดว่าต้องการจะมีลูกเลย อันนี้บางครั้งก็อาจจะตอบปัญหาในเรื่องของคำสัญญาได้ เป็นพวกเราคุยกันว่าพวกเราต้องการที่จะมีลูกเลยเพราะเหตุว่าผมก็ 40 กว่าแล้วก้อยก็ 36 ปิ้ง 37 ปี รู้สึกว่าหากต้องการจะมีลูกให้ทันก็จำเป็นต้องด่วนๆ”
“มันเสมือนเรื่องที่ผมถัดไปเป็นการขยายพื้นที่ของตนเองในฐานะความเป็นคนคนนึง การมีลูกเป็นการที่พวกเราอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีความนึกคิดอีกแบบนึง พวกเราบางครั้งอาจจะมิได้ดำเนินชีวิต จะมิได้มองเห็นผมออกไปวิ่งไกลๆหรือตะกายเสาการแสดงดนตรีหรือกระโจนจากลำโพงเนื่องจากว่าพวกเราจะต้องห่วงลูก มันก็บางครั้งก็อาจจะเป็นอย่างงั้น แม้กระนั้นพวกเราก็ต้องการที่จะไปพบเจอกับมัน ว่ามันจะบันเทิงใจเพียงใดมันจะตรากตรำมากแค่ไหน”
ส่วนก้อยนั้นจะถอยออกไปเป็นแม่บ้านเลยไหม เจ้าตัวก็ว่า ปลดปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีชีวิต พวกเราก็ไม่ต้องการที่จะอยากที่จะไปกะเกณฑ์อะไร ว่าต้องเป็นอย่างงั้นอย่างนี้ พวกเราต้องการที่จะบันเทิงใจไปกับมัน แต่ว่าแน่ๆว่าหน้าที่ในแวดวงเพลิดเพลิน ในขั้นแรกมันบางทีอาจจะต่ำลง เพียงพอพวกเรามีน้องแล้ว ด้วยเหตุว่าก้อยเป็นผู้ที่เวลาทำอะไรสมมุติว่าถ้าเกิดพวกเราจะเป็นแม่ พวกเราก็ต้องการที่จะเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยม
“เป็นพวกเราเป็นผู้ที่ทำเป็นครั้งละอย่าง เป็นราวกับจุดโฟกัสว่าโอเคหากในช่วงเวลานี้พวกเรามีลูก พวกเราก็ต้องการที่จะเลี้ยงเขาด้วยตัวเอง ต้องการจะปฏิบัติหน้าที่ที่ตรงนี้ให้มันดีเยี่ยมที่สุด ส่วนอื่นๆพวกเราก็ยังจะทำต่อ คงจะมิได้หายไปไหนจากแวดวงเบิกบาน แต่ว่ามันบางครั้งอาจจะมิได้ถี่ มิได้บ่อยครั้ง เหมือนแต่ก่อนแล้ว เวลาจะรับงานอะไรก็ จำเป็นต้องคิดถึงพี่ตูนด้วยครอบครัวด้วย และก็พวกเราบางครั้งอาจจะย้ายที่อยู่ฐานไปอยู่ที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่จ.กรุงเทพฯ”
กับแพลุกลนมีลูกทั้งสองก็ว่าได้หมดอีกทั้งเพศชายแล้วสตรีก่อนที่จะ ตูนก็กล่าวว่า ‘มีเลย ถ้าเกิดผมมีความรู้ความเข้าใจเพียงพอ (หัวเราะ)”
“เป็นผมต้องการมีมากยิ่งกว่าหนึ่ง ต้องการที่จะให้เขามีเพื่อนฝูง รวมทั้งเนื่องจากว่าก้อยเขาสมมุติถ้าหากว่ามีคนแรกตอนอายุ 37 สมมุติว่าโชคดีปีต่อไปพวกเรามีได้ อีกครั้งหนึ่งถ้าเกิดควรมีมันก็ควรเป็นตอน 38-39 ซึ่งผมมีความคิดว่ามันก็บางทีอาจจะเสี่ยงเกินความจำเป็นไหมไหมดีกับแม่และก็ลูก ก็เลยรู้สึกว่าแฝดน่าจะเป็นโอกาสที่ใช่สำหรับครอบครัวพวกเรา”
ซึ่งถ้าหากจะมีลูกแฝดก็จะต้องมีการพึ่งเทคนิกด้านการแพทย์ด้วย “ถ้าเกิดจะมีอย่างนั้นนะคะ แต่ยังไงในเวลานี้พวกเราก็ต้องการจะทดลองธรรมชาติดูซิ วางไว้เป็นแพลุกลี้ลุกลนบีเนื่องจากพวกเราก็ต้องการทดลองใช้ความรู้ของพวกเราก่อน”
วันนี้มีอะไรต้องการจะบอกกันและกันบ้างหรือไม่?
ตูน : สำหรับผมเองวันนี้มัน… มันเกินจริงมากมาย ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีภาพอย่างนี้และก็ยังรวมทั้งงานเช้าตรู่ในจินตนาการของผมเลย เป็นผมทราบครับผมว่าต้องการสมรส แม้กระนั้นผมไม่เคยมีความคิดว่ามันควรเป็นอย่างงี้ ไม่คิดว่าบิดามารดาควรต้องมานั่งอย่างงี้ ให้พวกเราได้กราบเท้าท่าน ให้แด่ท่านให้พรหรือใดๆก็ตาม วันนี้มันเป็นวันที่ดีเยี่ยมสำหรับผมที่มันเกิดขึ้น มันทำให้ผมสุขสบายมากมาย แล้วก็ผมก็ต้องการจะขอบคุณมาก เนื่องจากความสำราญทั้งผองภาพที่มันเกิดขึ้น ทั้งผองมันเกิดขึ้นได้ไพเราะเพราะพริ้งว่าเขา เพราะเหตุว่ามีเขาขอรับ
ก้อย : จริงๆก็คล้ายกันจ้ะ เป็นก่อนจะเริ่มวันนี้ พวกเราก็ได้รับคำให้พรจากคนแก่หลายๆท่าน รวมทั้งทุกคนก็จะกล่าวแบบเดียวกันว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้เป็นต้นไปไม่ว่าจะพบปัญหาอะไรก็แล้วแต่ ให้รำลึกถึงวันแรกที่พวกเราเจอะกัน ให้รำลึกถึงวันที่พวกเราหลงรักกัน ซึ่งตลอดระยะเวลา 10 ปีให้หลัง พวกเราผ่านอะไรร่วมกันมาเยอะแยะ เยอะแยะจริงๆเป็นไม่ว่าจะร้ายหรือดี หรือจะใดๆ พี่ตูนก็ไม่เคยไปไหน แล้วก็ความรักที่พี่ตูนให้ก้อยมันมากพอที่จะทำให้หญิงคนหนึ่งกล้าที่จะมีแรงเดินต่อไปในแต่ละวัน (ร้องไห้) ซึ่งก็มีความรู้สึกว่าชีวิตครอบครัวของพวกเรามันราวกับการวิ่งมาราธอนเช่นกันนะคะ กลางทางพวกเราจะต้องผ่านอีกทั้งการฝึกหัด ความทรหดอดทน กว่าจะลงสู่สนามครั้งคราวพวกเราก็ไม่เคยรู้ว่าพวกเราจำเป็นต้องไปพบกับอะไรบ้าง จะร้อน จะหนาว ทางจะลำบาก พวกเราจะเจ็บไหม พวกเราจะเป็นอะไรไหม แต่ในที่สุดพอเพียงพวกเราเดินมาถึงเส้นชัยทุกสิ่งทุกอย่างมันงดงามเสมอ ซึ่งวันนี้พวกเราก็มีความรู้สึกว่าจริงๆพวกเราเสมือนจะเดินไปถึงเส้นชัยนะ แม้กระนั้นที่จริงแล้วมันพึ่งจะเริ่ม มันเป็นจุดเริ่มแรกของของก้าว ของราธอนครั้งใหม่ชีวิตที่พวกเราต้องไปร่วมกันต่อ”
สนับสนุนโดยเว็บไซต์ ดูหนังฟรี
|